"ทุกสิ่งเพื่อพระสิริมงคลของพระเจ้า" - บุญราศี มารีอา โดเมนิกา บรุน บาร์บันตินี

ฉันเป็นใคร
        ฉันชื่อ ซ.เยโนเวฟา พิกุลทอง คำเสงี่ยม เกิดเมื่อวันที่ 23 เมษายน 1968 บิดาชื่อ นายเวิล คำเสงี่ยม และมารดาชื่อนางหนูหวี่ คำเสงี่ยม เป็นคนที่ 8 ในจำนวนพี่น้อง 10 คน เป็นสัตบุรุษของอาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอล ท่าแร่ สกลนคร เรียนจบชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนท่าแร่วิทยา และจบชั้นมัธยมต้นจากโรงเรียนเซนต์ยอแซฟท่าแร่ และจบมัธยมปลายจากโรงเรียนนารีวุฒิบ้านโป่ง ประกาศนียบัตร เทวศาสตร์การอภิบาลผู้ป่วย 2 ปีจากสถาบัน Camillianum Roma ประกาศนียบัตรชีวิตฝ่ายจิตของนักแพร่ธรรม 1 ปีจากวิทยาลัย Urbaniana Roma ปริญาตรีพยาบาลศาสตร์บัณฑิตจากวิทยาลัยเซนตหลุยส์ กรุงเทพฯ

เส้นทางสู่กระแสเรียกชีวิตนักบวช
          ตั้งแต่วัยเด็กฉันได้สัมผัสกับบรรยากาศความเชื่อคาทอลิกในครอบครัวและหมู่บ้านที่ได้ช่วยให้ฉันเป็นคนมีความศรัทธา รักความเงียบสงบและรักการภาวนา และในช่วงวัยเรียนขั้นปฐมศึกษาได้เห็นซิสเตอร์ คณะคามิลเลียนรุ่นแรก ๆ (เป็นฝรั่ง ท่านตัวสูง) ท่านคือ"ซิสเตอร์เอเลโอโนรา" ท่านได้มาหากระแสเรียกที่บ้านท่าแร่ ท่านได้เดินผ่านหน้าบ้านเป็นประจำ มีกางเขนสีแดงติดที่หน้าอกและมีใบหน้าที่สงบพร้อมรอยยิ้มแห่งสันติในจิตใจได้เดินผ่านหน้าบ้านเพื่อมาหากกระแสเรียกในหมู่บ้านทุกปี สิ่งนี้ที่ที่เป็นสิ่งหนึ่งดึงดูดใจฉัน เมื่ออายุ 12 ขวบ ได้ขอมาเข้าค่ายกระแสเรียกที่อารามบ้านโป่ง แต่ช่วงนั้นยังไม่ได้รับอนุญาตให้มาร่วมได้เพราะปัญหาด้านการเดินทางจากการเมารถ และท่านคงจะเห็นว่าเราตัวเล็กและยังเด็กเกินไปที่จะเดินทางเป็นระยะไกลจากท่าแร่มาถึงบ้านโป่งที่ไกลเลยกรุงเทพ ท่านจึงเสนอให้รอจนโตก่อน ช่วงนั้นฉันเองร้องให้เสียใจบ้าง แต่พี่สาวมาปลอบใจบอกว่าโตแล้วค่อยเข้าอารามเดียวก็ได้เข้าอาราม วันหนึ่งได้ไปสวดนพวารแม่พระนิจจานุเคราะและได้สวดวอนขอแม่พระว่าถ้าอยากให้ตนเองได้เข้าอารามก็ขอให้จัดการทุกอย่างให้ ต่อมาก็มีบัตรอวยพรคริสต์มาสจากอารามและเริ่มมีการติดต่อกันมากขึ้น จนได้มีโอกาสมาเข้าค่ายกระแสเรียกและเข้าอารามในวันที่ 7 พฤษภาคม 1984 เมื่ออายุได้ 15 ปี ได้มีโอกาสเข้าร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณในโอกาส พระสันตะปาปา ยอห์นปอลที่ 2 ได้เสด็จมาเยือนประเทศไทย (10-11 พ.ค 1984) ที่ อ.สามพราน นครปฐม จากนั้นตัวเองได้ติดตามเสียงเรียกของพระองค์ในขั้นตอนต่าง ๆ และทีละเล็กทีละน้อยจากการอบรมที่ทางคณะได้จัดให้ก็ช่วยให้ได้รับการเจริญเติบโตในด้านต่างๆมากขึ้น

การเข้าสู่ชีวิตนักบวชและเจริญชีวิตตามพระพรของคณะ
             เมื่อมองดูชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยออกไปไหนมาไหนแม้กระทั่งจากหมู่บ้านเข้าในตัวจังหวัดก็ยังไม่ค่อยได้ไปเพราะไปที่ไรก็เมารถประจำทางทุกครั้งไป เมื่อวันนั้นมาถึงต้องออกเดินทางบ้านไปอารามที่บ้านโป่ง คุณแม่หนูหวี่และพี่ ๆได้มาส่งขึ้นรถทัวส์เวลา 2 ทุ่ม และเลือกรถทัวส์คันที่จะต้องไม่ผ่านทางภูพานที่เรียกว่าทางปิ้งงูเพราะพอผ่านทางนี้ทีไรต้องเมารถทุกครั้งเนื่องจากทางเป็นโค้งไปมาหลายโค้ง คุณแม่หนูหวี่มาส่งขึ้นรถพร้อมนำเงินที่จะนำมาใช้ในอารามฉันจำได้ว่าท่าเอาเงินธนบัตรจำนวนหนึ่งใส่ไว้ในถุงเท้าที่ฉันกำลังใส่ทั้ง 2ข้าง และฝากเดินทางมาด้วยกันให้คอยช่วยดูแลฉัน เป็นจริงตลอดการเดินทางฉันทรมานมาก เมารถและอาเจียนตลอดทาง มาถึงหมอชิตก็ต้องหารถอะไรก็ได้ที่ช่วยให้เมาไม่มากจึงได้รถตุ๊ก ๆ ตอนนี้อาการดีขึ้นเพราะได้รับลมเย็น ๆ จากนั้นมาถึงสายไต้สมัยก่อนก็ขึ้นรถหวานเย็น (รถบัสที่ไม่มีแอร์เปิดกระจกได้) ค่อยยังชั่วบ้างมีอากาศเย็นสบายขึ้นแต่เหนื่อยมาก แต่พอมาถึงอำเภอสามพราน นครปฐมก็เริ่มอาเจียนอีกระลอกเพราะกลิ่นเหม็นของขี้หมูได้กระตุ้นการเมารถของตนอีกครั้ง อย่างไรสุดท้ายก็เดินทางถึงอารามบ้านโป่งอย่างสะบักสะบอมแต่ปลอดภัย แล้วความอบอุ่นแห่งการต้อนรับของซิสเตอร์และสมาชิกในอารามก็ได้ให้บรรเทาความเหน็ดเหนื่อยความอ่อนล้าของฉัน และทุกครั้งที่จะกลับไปพักร้อนที่บ้านต้องเป็นภาระให้ ซ.เอเลที่ต้องเป็นผู้จัดสรรเพื่อน ๆ ที่จะไปด้วยกันว่าจะไปท่าแร่อย่างไรโดยไม่ต้องขึ้นรถทัวส์ท่านเสนอให้นั่งรถไฟจากบ้านโป่งไปลงกรุงเทพฯ และจากกรุงเทพต่อไปได้ถึงจังหวัดอุดรธานี เพราะจากนั้นไม่มีรถไฟถึงสกลนครจากนั้นจึงต้องขึ้นรถประจำทางที่ไม่ต้องมีแอร์เพื่อจะได้กลับท่าแร่เพื่อลดอาการเมารถ พวกเพื่อน ๆ ที่กลับด้วยกันก็ต้องลำบากไปเพราะฉัน ที่ละเล็กทีละน้อยจากการช่วยเหลือของซิสเตอร์และเพื่อน ๆ และจากร่วมมือของฉันชีวิตของฉันก็ค่อย ๆ ปรับตนเองให้เข้ากับสภาพต่าง ๆ จนเข้มแข็งขึ้นสามารถปรับตนให้เข้ากับสถานการณต่าง ๆ และเข้ากับกลุ่มเพื่อนและวิถีชีวิตในอารามและในสังคมใหม่ได้ดีขึ้น บรรยากาศของการอยู่ร่วมกันในสมัยนั้นเป็นบรรยากาศของความเป็นพี่น้อง ส่งเสริมความดีของกันและกัน แบ่งเบาภาระของกันและกัน มีความเป็นหนึ่งเดียวกันไม่มีแบ่งพรรคแบ่งพวก มีความสุขมาก และยังเคยอยู่กับมิชชันรีรุ่นแรก ๆ ซ.Eleonora (ชาวอิตาเลียน ,ซ. Noem (ชาวอิตาเลียน), Paola (ชาวบลาซิล) ซ.Fidelia (ชาวบราซิล) ซ. Helen (ชาวไต้หวัน) รู้สึกดีใจ อบอุ่นใจ ขอบคุณพระองค์ที่ได้มาอยู่กับมิชชันนารี่ทั้ง 5 ท่าน ได้รับความดีและแบบอย่างมากมายจากชีวิตของท่านเหล่านั้น หลังจากที่ได้รับการอบรมในขั้นตอนต่าง ๆ มีพระเจ้าที่คอยอยู่เคียงข้างให้คอยให้การช่วยเหลือผ่านบุคคลรอบข้าง

                  การเดินทางของฉันเริ่มชัดเจนและมั่นใจมากขึ้นในการตัดสินใจถวายตัวแด่พระเจ้า ฉันรู้สึกดีและชอบมากเมื่อได้ไปฝึกงานรับใช้ผู้ป่วยโรคเรื้อนที่คลีนิคท่าหว้า กาญจนบุรีกับบราเด้อ Victorio และซิสเตอร์เปาลามิชชันนารีชาวบราซิลและท่านได้พาไปฝึกงานในโรงพบาลซานคามิลโล บ้านโป่ง และมีประสบการณ์อีกอย่างที่ตราตรึงในใจฉันคือช่วงเรียนจบ ม. 6 ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการสร้างบ้านเบธานี (บ้านพักคนชรา) ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเตรียมเข้าสู่การเป็นโปสตุลันต์ มีโอกาสได้ช่วยทำงานดูแลคนป่วย คนชรา นี่เป็นช่วงเวลาที่หนักพอสมควร วันหนึ่งเราได้พบกับคำตอบในใจ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนวันคริสต์มาสปีนั้น ฉันได้ขึ้นเวรเฝ้ายาย ระหว่างนั้นเองเราได้รู้สึกมีความสุขลึก ๆ ในใจ เห็นรอยยิ้ม ความชื่นชมของคนชราที่ได้รับการพยาบาล นี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้เรารูสึกว่า "มีความสุขเหมือนกับความรักของพระเยซูมาสัมผัสใจของเรา" แล้วได้รับเข้าสู่ขั้นขั้นโปสตุลันต์ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1989 วันที่ 14 กรกฎาคม 1990 ปฏิญาณตนครั้งแรก วันที่ 8 ธันวาคม 1992 พร้อมกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน 4 คน ที่วัดแม่พระเสด็จเยี่ยม บ้านโปง ราชบุรี หลังจากนั้น 2 ปี ได้มารับการอบรมเป็นภคินีผู้เยาว์ที่อิตาลี ได้เรียน ชีวิตฝ่ายของมิชชันนารี ที่วิทยาลัย Urbaniana 1 ปี และเทวศาตร์การอภิบาลผู้ป่วยที่สถายันนานาชาติ Camillianum 2 ปี วันที่ 15 ตุลาคม 2000 (ปียูบีลี )ก็ได้รับการปฏิญาณตลอดชีพที่วัดบ้านแม่ของคณะที่เมืองลุกกาพร้อมกับเพื่อน ๆ จากชาติต่าง ๆ รวม 8 คน ในข่วงการอบรมผู้เยาว์ที่อิตาลีได้รับพระพรต่าง ๆ มากมายจากพระเจ้าผ่านแบบอย่างชีวิตของซิสเตอร์ของเรา ฉันได้รับความรัก ความอบอบอุ่น ความความหวังดี ความเห็นอกเห็นใจจากท่านเหล่านั้น ขอบพระคุณพระองค์ที่ให้โอกาสที่ดีเช่นนี้ จากนั้นได้กลับมาช่วยพันธกิจของคณะที่ประเทศไทยที่หมู่คณะแม่สรวยจังหวัดเชียงรายและได้เรียนพยาบาล ที่วิทยาลัยเซนต์หลุยส์ 4 ปี เพื่อนำความรู้มาช่วยในงานรับใช้ผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้ไปทำงานในโรงพยาบาลศูนย์แม่สอดสักระยะหนึ่งจากนั้นกลับมาช่วยงานที่อิตาลีอีกครั้ง จากนั้นกลับไปประเทศไทยเพื่อช่วยเหลือพี่สาวที่เจ็บป่วยแล้วช่วยงานพยาบาลในหมู่คณะบ้านเบธานี ช่วยงานพยาบาลที่บ้านพักพระสงฆ์ราชบุรี ได้ฉลอง 25 ปีแห่งชีวิตนักบวชในปี 2017 ในโอกาสนี้รู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสมาร่วมคอร์สอบรมเข้ม "Ritorno alla Sorgente" ที่อิตาลีเป็นเวลา 3 เดือนในปี 2018 และเวลานั้นได้ร่วมมิสซาและเข้าพบกับพระสันตะปาปา ฟรังซิสเป็นการส่วนตัวซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ชิดอย่างนี้ จากนั้นได้กลับ ไปช่วยงานของคณะที่อำเภองาว และปี 2021ฉันได้เดินทางกลับมาช่วยงานของคณะที่อิตาลีอีกครั้งจนถึงปัจจุบัน ครั้งนี้ฉันมาพร้อมกับสถานการการแพ่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ได้มีโอกาสช่วยงานพยาบาลรับใช้ผู้ป่วยโควิด-19 อย่างใกล้ชิดแม้บางครั้งรู้สึกหวิว ๆ กลัวจะติดเชื้อ อย่างไรก็ยังก็มีความไว้วางใจในการช่วยเหลือและปกป้องจากพระเยซูและพระมารดา และแม้ต้องเสียชีวิตก็พร้อมจะยอมรับความตายตามศีลบนข้อ 4 ของคณะ การมาอยู่อิตาลีครั้งที่สามนี้รู้สึกคิดถึงซิสเตอร์หลายท่านที่เราเคยรู้จักเวลานี้ท่านเหล่านั้นได้ไปพบพระเจ้ากันแล้ว และกระแสเรียกในชีวิตนักบวชก็ลดน้อยไปมาก เวลานี้ส่วนใหญ่ตามหมู่คณะจะเป็นเราชาวต่างชาติ และที่หมู่คณะของฉันในปัจจุบันที่ Diano Marina เป็นซิสเตอร์คนไทยทั้ง 3 คน อย่างไรก็ตามพพระพรพิเศษของคณะที่คุณแม่ผู้ตั้งคณะและซิสเตอร์รุ่นก่อนเราได้เริ่มต้นไว้และพวกเราก็กำลังานพันธกิจนี้ต่อไป เมื่อ 50 ปีก่อนได้มีซิสเตอร์มิชชันนารีของเราได้มาบุกเบิกสร้างหมู่คณะของเราในไทยท่านเหล่านั้นได้เสียสละและรับใช้ช่วยเหลือพวกเราจนพัฒนามาถึงปัจจุบัน แล้วไฉนเราจะกลับมาช่วยสร้างหมู่คณะและต่อสานงานรับใช้ของพระเจ้าในอิตาลีไม่ได้เล่า เวลานี้เด็กบ้านนอกคนนี้เมื่อวัยเด็กไม่เคยออกไปไหนมาไหน พระเจ้าองค์นี้ก็ได้นำออกจากบ้านเกิดของตนเขาสู่ดินแดนแพร่ธรรมในโลกที่กว้างใหญ่มากขึ้นในพื้นแผ่นดินที่อยู่ห่างไกลจากบ้านของตน และมุ่งสู่ทางของพระองค์ต่อไป

             สรุป การเดินทางของชีวิตของฉันนั้นเป็นการกระทำของพระเยซูที่พระองค์ได้ก็ค่อย ๆ เตรียมชีวิตฉันให้ค่อย ๆ เดินทางมุ่งสู่ความอิสระภาพและความสุขภายในดวงใจยิ่งวันยิ่งมากขึ้นและผู้ที่ทำให้หัวใจของฉันมีความเพียงพอและมีความสุขอย่างแท้จริงคือความรักของพระเยซู แล้วพระเยซูเป็นใครสำหรับฉันหล่ะ? ฉันพบคำตอบนี้ได้ในช่วงที่ฉันกำลังเตรียมตัวตลอดชีพคือพระวาจาตอนนี้ "นับแต่บัดนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าทุกสิ่งไม่มีประโยชน์อีกเมื่อเปรียบกับประโยชน์ล้ำค่าคือการรู้จักพระคริสตเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงยอมสูญเสียทุกสิ่ง ข้าพเจ้าเห็นว่าทุกสิ่งเป็นปฏิกูล เพื่อจะได้องค์พระคริสตเจ้ามาเป็นกำไร" (ฟป. 3:8)

             การเดินทางสู่ความอิสระภายในในการพบกับพระเยซูนั้น เป็นการเจริญชีวิตปกติธรรมดา สู่การมีสติ การรู้ตัวและรู้เท่าทันความรู้สึกที่ดีและไม่ดีภายในส่วนลึกของชีวิตของฉันไม่ว่า ความต้องการอำนาจ เกียรติยศ ชื่อเสียง และฉันสามารถที่จะนำความรู้สึกและความต้องการเหล่านี้ไว้ต่อหน้าพระองค์ และพูดแบ่งปันกับพระองค์ด้วยความไว้วางใจและสัมผัสว่าพระองค์เป็นบุคคลหนึ่งที่มีชีวิตและอยู่ใกล้ชิดฉันเป็นบุคคลหนึ่งที่มีชีวิตที่คอยรับฟัง แม้ฉันไม่เห็นพระองค์แต่ฉันได้สัมผัสถึงความรักและการสถิตอยู่ของพระองค์ในชีวิตของฉัน พระองค์ทรงรักฉันอย่างดีฉันมีและเป็น พระองค์ทรงอยู่กับฉันเสมอในชีวิตประจำวัน พระองค์เท่านั้นที่ทำให้หัวใจของฉันเพียงพอ " ข้าแต่พระเยซูเจ้า ลูกขอขอบพระคุณพระองค์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ได้ทรงเรียกลูกให้มาเป็นคริสตชน เรียกลูกให้มาเป็นเจ้าสาวของพระองค์ภายใต้พระพรพิเศษของคณะภคินีผู้รับใช้ผู้ป่วย ได้มีโอกาสมีชีวิตอยู่กับบรรดาภคินีมิชชันนารีรุ่นแรก ๆ ในไทยและต่างประเทศโดยเฉพาะกับซิสเตอร์ผู้สูงอายุที่อิตาลี และบรรดาภคินีรุ่นพี่และรุ่นเพื่อน ๆ และรุ่นน้อง ๆ ขอให้ลูกสามารถเป็นเครื่องมือในการนำความรักและความชื่นชมยินดีของพระองค์แก่พี่น้องทุกคนในโลกนี้โดยเฉพาะในคนเจ็บไข้ได้ป่วยผู้ที่อยูในความต้องการต่าง ๆ ขอให้ลูกทำทุกอย่าง พร้อมกับพระองค์เพื่อพระองค์และในพระองค์ ลูกขอโทษพระองค์ในบางครั้งที่ไม่ได้เป็นพยานแห่งความรักของพระองค์ขอให้ดวงใจของฉันเป็นหนึ่งเดียวกับความรักความเมตตาของพระองค์ตลอดไปเทอญ อาแมน

ซิสเตอร์ เยโนเวฟา พิกุลทอง คำเสงี่ยม